
สวัสดีค่ะ พอดีมีเรื่องอยากรบกวนสอบถามค่ะ
ช่วงนี้เห็นบริษัทหลายที่พูดถึง VDI บ่อยมากค่ะ มันคืออะไรเหรอคะ?

VDI ย่อมาจาก Virtual Desktop Infrastructure
หรือก็คือ คอมพิวเตอร์ของเราจะอยู่บนเซิร์ฟเวอร์ครับ แทนที่จะอยู่ในเครื่องเราจริง ๆ
ทำงานโดยการสร้างเดสก์ท็อปเสมือนหลายๆเครื่อง ที่ทำงานบนเซิร์ฟเวอร์ส่วนกลาง โดยเครื่องเสมือนเหล่านี้มีทั้งระบบปฏิบัติการและแอปพลิเคชันที่ผู้ใช้ต้องการ ผู้ใช้จะเข้าถึงเดสก์ท็อปเหล่านี้จากระยะไกลผ่านอุปกรณ์ปลายทาง (เช่น คอมพิวเตอร์, แท็บเล็ต) โดยข้อมูลและการประมวลผลทั้งหมดเกิดขึ้นบนเซิร์ฟเวอร์ส่วนกลาง ทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้จากทุกที่ที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตครับ

พอจะเข้าใจแล้วค่ะ
แล้ว VDI สามารถทำงานหนักๆได้ไหมคะ เช่น งาน3D CAD, CAE หรือ CAM

ได้อย่างแน่นอนครับ แต่จะต้องมีในเรื่องของ GPU เข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะเซิร์ฟเวอร์จะทำงานแทนเครื่องคอมที่เราใช้ครับ
เราเห็นภาพจากจอภาพของคอมเรา และสั่งงานผ่านคอมของเราเช่นกัน แต่การประมวลผลจะไปประมวลผลที่ตัวเซิร์ฟเวอร์กลางครับ

ถ้าอย่างนั้น โครงสร้างของ VDI มันเป็นยังไงหรอคะ
[โครงสร้างของ VDI]:
- หัวใจของระบบ: Hypervisor
- Hypervisor คือระบบที่ทำให้ “เซิร์ฟเวอร์ 1 เครื่อง” แบ่งเป็น “คอมหลายเครื่อง” ได้
- VM (Virtual Machine) ทุกตัว ที่ผู้ใช้จะ Remote เข้าไปใช้งาน จะถูกสร้างขึ้นบน Hypervisor
- ตัวอย่าง Hypervisor ก็จะมี VMware ESXi, Hyper-V, Nutanix AHV
2. ส่วนของเซิร์ฟเวอร์ (Physical Server)
- เซิร์ฟเวอร์จะเป็นเครื่องจริงๆ ที่อยู่ใน Data Center ติดตั้งด้วยสเปกระดับสูง เช่น CPU ประสิทธิภาพสูง หน่วยความจำขนาดใหญ่ รองรับการประมวลผลหนัก และถ้าต้องทำงาน CAD/CAM จำเป็นต้องมี GPU (NVIDIA) ครับ เครื่องเซิร์ฟเวอร์นี้จะเป็นตัวสร้าง “VM Desktop” ให้ผู้ใช้เข้าไปใช้งาน
3. GPU Virtualization (สำหรับงานกราฟิกหนัก)
- สำหรับงาน ออกแบบและวิศวกรรมขั้นสูง ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง เช่น CAD (3D Design), CAM, CAE (Simulation/Analysis) ระบบจำเป็นต้องใช้ NVIDIA GPU เพื่อรองรับ workloads และรูปแบบการประมวลผลเชิงวิศวกรรมที่ซับซ้อน
- NVIDIA vGPU (Virtual GPU) เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้เซิร์ฟเวอร์สามารถ แบ่งการ์ดกราฟิกเพียงใบเดียวให้กับหลาย VMs ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมรองรับแอปพลิเคชันวิศวกรรมระดับ Enterprise
- ผู้ใช้งาน CAD ทุกคนจะได้รับประสิทธิภาพ GPU เสมือนมีการ์ดกราฟิกประสิทธิภาพสูงเป็นของตนเองบนเครื่องที่ใช้งาน
4. Storage Server (พื้นที่เก็บข้อมูลส่วนกลาง)
- ข้อมูลระบบปฏิบัติการ แอปพลิเคชัน ไฟล์ของผู้ใช้ รวมถึง VMs(guest) จะถูกเก็บไว้บนพื้นที่จัดเก็บ (Storage Server) เมื่อเราเปิดเครื่องเสมือน (VMs) เครื่องเสมือนจะเริ่มทำงานโดยดึงข้อมูลทั้งหมดจากพื้นที่จัดเก็บนั้น
- หากมีอุปกรณ์ใดอุปกรณ์หนึ่งเสียหายข้อมูลก็จะไม่เสียหายเพราะระบบเก็บทุกอย่างถูกเก็บอยู่ใน Storage กลาง จะเป็น SAN / NAS / หรือ vSAN ก็ได้
5. Connection Broker (ระบบจัดการผู้ใช้)
- เป็นตัวกลางคอยจับคู่ว่า “ผู้ใช้คนนี้ควรได้เข้า VM ตัวไหน” จัดการสิทธิผู้ใช้ จัดคิว และตรวจสอบว่า VM ว่างหรือไม่ ใน VMware จะถูกเรียกว่า Horizon Connection Server
6. User Device (อุปกรณ์ผู้ใช้)
- สามารถใช้ได้กับอุปกรณ์ที่หลากหลาย เช่น Laptop ธรรมดาทั่วไป, Thin Client หรือจะเป็น Tablet ก็ยังได้ เพียงแค่ผู้ใช้ “Remote เข้าไปยัง VMs บนเซิร์ฟเวอร์” เท่านั้น

แล้วข้อมูลจะปลอดภัยมั้ยคะ ถ้าเปิดจากบ้าน?

ปลอดภัยครับ ถ้าเครื่องของพนักงานหายหรือโดนขโมย ข้อมูลก็ยังปลอดภัย เพราะไม่ได้เก็บไว้ในเครื่อง แต่เก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์กลาง โดยมีข้อดีดังนี้ครับ
- ควบคุมการเข้าถึงได้หมด
ผู้ดูแลระบบตั้งสิทธิ์ได้ว่าใครเข้าได้ถึงไหน ปิดฟังก์ชันคัดลอกไฟล์ แชร์จอ หรือเสียบ USB ได้ - ป้องกันไวรัสและมัลแวร์ได้ดีกว่า
เพราะทุกการใช้งานผ่านสภาพแวดล้อมที่ควบคุมไว้ในศูนย์กลาง สามารถรีเซ็ตหรืออัปเดตได้ทันที - สำรองและกู้คืนข้อมูลได้ง่าย
หากเกิดข้อผิดพลาดหรือเซิร์ฟเวอร์ถูกโจมตีด้วย ransomware ซึ่งเป็นมัลแวร์ที่เข้ารหัสไฟล์ของผู้ใช้งาน ข้อมูลบนเซิร์ฟเวอร์สามารถกู้คืนได้ทันทีจาก snapshot ซึ่งเป็นสำเนาของเซิร์ฟเวอร์ในช่วงเวลาก่อนเกิดเหตุ - ติดตามและตรวจสอบได้ทั้งหมด
มีระบบ log บันทึกทุกการเข้าใช้งาน ช่วยให้ตรวจสอบย้อนหลังได้ถ้ามีเหตุผิดปกติ

รู้สึกสบายใจขึ้นเลยค่ะ
แล้วเห็นบางที่มีกล่องเล็ก ๆ เสียบกับจอ มันคืออะไรคะ?

เรียกว่า Thin Client หรือบางรุ่นก็เรียก Zero Client ครับ
เป็นอุปกรณ์ขนาดเล็กที่เชื่อมต่อกับจอ เมาส์ และคีย์บอร์ด หน้าที่คือเป็นตัวกลางเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ที่มี VDI อยู่ครับ ตัวอุปกรณ์เปรียบเสมือนตัวเชื่อมที่คอยรับภาพจากเซิร์ฟเวอร์มาขึ้นที่จอเรา และส่งคำสั่งที่เรากดกลับไปที่เซิร์ฟเวอร์ เพื่อให้ประมวลผลที่เซิร์ฟเวอร์กลางครับ — เหมือนเป็นหน้าต่างเล็ก ๆ ที่เปิดไปยังคอมเครื่องใหญ่ในศูนย์กลางครับ

งั้นถ้าไม่มี Thin Client ก็ใช้ไม่ได้เหรอคะ?

ได้ครับ! จริงๆแล้วไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ครับ
สามารถใช้โน้ตบุ๊กหรือคอมทั่วไปก็เข้าได้เลย โดยการลงแอปหรือล็อกอินผ่านเว็บครับ
แต่ที่หลายบริษัทเลือกใช้ Thin Client เพราะดูแลง่ายกว่า ไม่มีฮาร์ดดิสก์ ข้อมูลไม่เก็บในเครื่อง ปลอดภัยกว่า แล้วก็อายุการใช้งานยาวกว่าครับ

เข้าใจแล้วค่ะ
แล้วระบบ VDI นี้เหมาะกับใครบ้างคะ? ต้องเป็นบริษัทใหญ่เท่านั้นหรือเปล่า?

ไม่จำเป็นเลยครับ จริง ๆ แล้ว VDI ใช้ได้ทั้งองค์กรเล็ก กลาง ไปจนถึงใหญ่
แค่จุดประสงค์ของแต่ละที่อาจต่างกันนิดหน่อย ยกตัวอย่างเช่น
องค์กรใหญ่ — ต้องการจัดการคอมทุกเครื่องจากศูนย์กลาง เวลาอัปเดตโปรแกรม หรือตั้งค่าความปลอดภัย ก็ทำจากหลังบ้านได้เลย ไม่ต้องเดินไปตั้งค่าทีละเครื่อง
องค์กรขนาดกลางหรือทีมงานที่ทำงานหลายที่ — VDI จะช่วยให้ พนักงานเข้าถึงเครื่องทำงานของตัวเองจากที่ไหนก็ได้ ไม่ว่าจะอยู่บ้าน เดินทาง หรือทำงานต่างจังหวัด ก็เปิดเครื่องเสมือนขึ้นมาได้เหมือนอยู่ที่ออฟฟิศ

แล้วถ้าจะใช้จริง ๆ ต้นทุนสูงไหมคะ?
เห็นพูดถึงเรื่องของเซิร์ฟเวอร์ ฟังดูน่าจะราคาสูงเลย

ตอนเริ่มต้นอาจมีค่าเซิร์ฟเวอร์ ค่าฮาร์ดแวร์ต่างๆอยู่บ้างครับ
แต่เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับ ค่าไฟ ค่าซ่อมบำรุง ค่าอัพเกรดเครื่อง หรือระยะเวลาในการจัดการคอมทีละเครื่องและ เครื่อง Workstation ที่ราคาต่อเครื่องหลักหมื่นถึงหลักแสนบาท และต้องซื้อหลายสิบเครื่อง
ถ้าใช้ Thin Client ราคาหลักพันแทน และให้เซิร์ฟเวอร์ทำงานหลักแทน
VDI จะคุ้มกว่ามากครับ เพราะเครื่องปลายทางไม่ต้องเปลี่ยนบ่อย ไม่พังง่าย และดูแลจากส่วนกลางได้หมดครับ อย่างเช่นการอัพเดทซอฟต์แวร์ก็สามารถอัพเดทจากเครื่องกลางได้ครับ

VDI (Virtual Desktop Infrastructure) ไม่ได้เป็นเรื่องซับซ้อนอย่างที่หลายคนคิด
แต่มันคือ “แนวทางใหม่ในการทำงาน” ที่ช่วยให้องค์กร
✔ ทำงานได้จากทุกที่
✔ ดูแลระบบได้ง่ายขึ้น
✔ ลดภาระไอทีและต้นทุนระยะยาว
✔ ปลอดภัย เพราะข้อมูลไม่ต้องเก็บไว้ในเครื่อง
VDI ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีไปสู่การ “บริหารจัดการทุกอย่างจากศูนย์กลางเดียว”

ขอบคุณค่ะ จะลองนำไปพิจารณานะคะ

